[เสียงดนตรี](ดร.วิวัฒน์) บรรดาศาสตร์ต่าง ๆ ในโลกนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากปัญญาชนเกิดจากพระ หรือเกิดจากเกษตรกร เกิดจากอะไรน้อยนักที่จะเกิดจากคนที่เป็นพระราชาแต่บ้านเรานี่โชคดีเรามีพระราชาที่นอกจากทรงธรรมแล้วนะ ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ยังเป็นนักสร้างนวัตกรรม ยังเป็นนักเกษตร เป็นผู้เชี่ยวชาญมากมายมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้นในโลกที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้มากมายขนาดนี้[เสียงดนตรี](ดร.วิวัฒน์) ศาสตร์ ก็คือองค์ความรู้ ที่ถูกพัฒนาถูกทดลองมาแล้วอย่างเป็นระบบเรียกมันว่า “Science” หรือ “ศาสตร์” นี่ก็ทดลองมาทำ 4,000 กว่าแห่ง ก็เรียกว่า “ทฤษฎีใหม่”ทฤษฎีเก่า ก็คือฝนตกลงมานี่ สูบน้ำจากคลองชลประทานฝนตกลงมาเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำ แล้วก็ปล่อยน้ำมาในคลองชลประทานหรือปล่อยมาจากท่อ แล้วก็สูบใส่นาแล้วก็ทำนา เสร็จแล้วพอน้ำหมด ก็ไปเอาจากคลองชลประทานมาเติมอย่างนี้ทฤษฎีเก่าส่วนทฤษฎีใหม่นั้นนอกจากเขื่อนที่สร้างไว้แล้วควรสร้างเขื่อนขนาดกลาง เช่น เขื่อนป่าสักฯ นี่มีอยู่แล้วพระองค์ท่านก็ไว้ให้แล้วท่านก็มาสร้างเพิ่ม อ่างห้วยหินขาวนี่จุล้านเดียวจากห้วยหินขาวนี่ ก็ต่อมาที่ชาวบ้านชาวบ้านแทนที่จะรอจากห้วยหินขาว ก็จากอ่างเก็บน้ำป่าสักฯก็มาทำอ่างของตัวเองไว้ในบ้านใครบ้านมันก็จะมีหนองน้ำ มีสระน้ำ มีอ่างน้ำ มีฝายอะไรก็แล้วแต่เพื่อจะเก็บน้ำไว้ในที่ตัวเอง นี่ก็จะเป็นทฤษฏีใหม่แล้วน้ำนี่คำนวณแล้ววิธีการเหล่านี้ คือ ที่ใหญ่ก็เก็บ ที่ขนาดกลางก็เก็บ ที่บ้านใครบ้านมันก็เก็บรวม 3 ระดับอย่างนี้ มันจะเก็บน้ำได้มากกว่าเดิมถึง 5 เท่าคือ ชาวบ้านยอมเสียที่นาของตัวเอง ลงไปสัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ก็จะมีน้ำไว้ประจำบ้านตัวเองระบบจัดการอย่างนี้ทรงเรียกว่า “ทฤษฎีใหม่”แล้วก็คุยกันประชุมกันในเครือข่ายชาวบ้านชาวบ้านก็เห็นว่ามันต้องใช้ภาษาชาวบ้านขุดหนองไง เอาดินไปไหน ก็ทำโคกไง ปลูกโคกก็ปลูกป่าไงตรงไหนก็มีคลอง ก็คลองไส้ไก่ไงตรงไหนมันระดับมันต่างก็กั้นฝายไงแล้วก็ในนา ก็ปั้นคันนาให้มันใหญ่ เหมือนคนโบราณบนหัวคันนาคนโบราณนี่เขาปลูกพริก ปลูกผัก ปลูกกล้วย ปลูกไอ้โน่น ไอ้นี้ไว้กินแล้วบนคันนามันสูง มันใหญ่ น้ำหลากมามันก็ไม่ท่วมไอ้ต้นไม้ปลูกบนคันนามันก็ไม่ตาย เราก็เรียกว่า “คันนาทองคำ”เพราะบนคันนามันมีผลิตมั่งคั่งยิ่งกว่าทองคำในนาก็มีปลาด้วย เพราะถ้าคันนามันใหญ่เก็บน้ำได้เยอะ น้ำสูงมันลึก ปลาก็มาอยู่ ก็มาวางไข่ก็ไม่ต้องไปเลี้ยงปลา มันมาอยู่เอง เพราะน้ำมันลึกมันมีความปลอดภัยมันก็มาอยู่ข้าวก็ได้ดี ทำไมข้าวได้ดี ก็ขี้ปลาไง ขี้กุ้งไงมันก็ไม่ต้องซื้อปุ๋ยพอมีปลา มีกุ้ง หญ้ามันก็ไม่ขึ้น น้ำขังมาก หญ้าก็ไม่ขึ้นมันก็ประหยัดทั้งยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยไม่ต้องใส่ แมลงก็ไม่ต้องฉีดมีกุ้ง หอย ปู ปลาอยู่ไม่ป่วย โรค แมลงมาปลากระโดดจับกินมันก็เป็นธรรมชาติอยู่ ๆ กันมาอย่างนี้ เป็นพัน ๆ ปีแล้วก็เลยกลายเป็นภาษาง่าย ๆ เรียกว่า “โคก หนอง นา โมเดล”ก็ประยุกต์มาจากทฤษฎีใหม่ ที่พระองค์ท่านคำนวณนี่คือศาสตร์ของพระราชา ของรัชกาลที่ 9 นี่ล่ะซึ่งท่านจะสรุปง่าย ๆ ท่านก็บอกว่า ก็พัฒนามาจากบรรพบุรุษนั่นล่ะเราอยู่กันที่นี่กันมา 5,000 กว่าปีบรรพบุรุษท่านพัฒนากันมาทีละนิด ๆ ๆทำแบบอะลุ่มอล่วยกันมาไม่ได้ติดตำราว่า ต้องไปลอกประเทศโน่นประเทศนี้มาก็พัฒนาจากฐาน จากดิน จากอารยธรรมของเราเองขึ้นมาเรื่อย ๆ 5,000 ปี ท่านบอกตำราแบบนี้ไม่จบจากทฤษฎีนี้ แปลไปสู่การปฏิบัติเป็น 3 ระดับนะ ปรัชญา แปลงมาเป็นทฤษฎีบันได 9 ขั้นจากทฤษฎี แปลไปสู่การปฏิบัติ(บรรยาย) ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากขั้นพื้นฐาน 4 ขั้นแรกนั่นคือ พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็นซึ่งสร้างได้ด้วยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างบันไดขั้นที่ 1 พอกิน เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริงต้องเริ่มจากการอยู่ให้ได้โดยให้ความสำคัญกับข้าวปลาอาหาร ที่สร้างได้จากพื้นที่ตัวเองพอมี พอกิน ด้วยการปลูกพืชผักผลไม้ให้พอกินก่อนส่วนบันไดขั้นที่ 2, 3 และ 4พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็นปลูกไม้ให้พอใช้ ทั้งทำเครื่องนุ่งห่ม มีสมุนไพรเพื่อรักษาโรคปลูกไม้ให้พออยู่ คือ มีไม้สำหรับสร้างที่อยู่อาศัยให้ร่มเงาประโยชน์ของป่าเหล่านี้ ทำให้เกิดบันไดขั้นที่ 4 พอร่มเย็นแนวทางนี้สามารถแก้ไขปัญหา ความยากจนของเกษตรกรไทยและปัญหาหนี้สินที่พอกพูน จากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนน้ำ ภัยแล้งได้ด้วยบันไดขั้นที่ 5 และ 6 บุญและทานยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี เมื่อทำในขั้นที่ 1-4 ได้คนเรามีพอแล้ว ที่เหลือก็นำมาแบ่งปันเป็นการฝึกจิตใจให้ละซึ่งความโลภ เชื่อมั่นในฤทธิ์ของทาน คือ การให้ดังที่พระเจ้าอยู่หัวฯ สอนไว้ว่าOur loss is our gain การขาดทุน นั่นคือกำไรบันไดขั้นที่ 7 เก็บรักษา เมื่อเรามีพอและได้แบ่งปันแล้วขั้นต่อไป คือ การรู้จักเก็บรักษา ใช้ภูมิปัญญาในการแปรรูปอาหารที่ยังมีอยู่เพื่อให้มีอาหารกินทั้งปี หรือว่าข้ามปีและยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สิ่งที่เราปลูกเองบันไดขั้นที่ 7 นี้ ยังเป็นสิ่งที่เกษตรกรจะต้องทำให้ได้ก่อนจะไปสู่ขั้นที่ 8 ต่อไปบันไดขั้นที่ 8 ขายเนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ เศรษฐกิจการค้าแต่ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขาการค้าขายสามารถทำได้ แต่ทำภายใต้การรู้จักพอประมาณและทำไปตามลำดับโดยของที่ขาย คือ ของที่เหลือจากทุกขั้นแล้วจึงนำมาขาย ขายด้วยความรู้สึกของ การให้ เพื่ออุ้มชู เผื่อแผ่ แบ่งปันไปด้วยกันสุดท้าย บันไดขั้นที่ 9 กองกำลังเกษตรโยธินหรือการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศเพื่อขยายผลความสำเร็จตามแนวทางเศรษพอเพียงสู่การปฏิวัติแนวคิด และวิธีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน(ดร.วิวัฒน์) เราเป็นประเทศยากจน มาก่อนพัฒนามาเป็นประเทศปานกลางแล้ว ก็อยากไปเป็นประเทศร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาท่านก็บอกไม่เอาแบบนั้นเพราะว่าถ้าติดตำราเดี๋ยวพอถึงหน้าสุดท้ายนี่ เดี๋ยวไปต่อไม่ได้ก็ต้องเปิดหน้าหนึ่งใหม่ เพราะว่าถึงหน้าสุดท้ายแล้วพอติดเพดานบินแล้วอย่างไรต่อ สุดท้ายก็ตกหัวปักลงมาพอชัดเจน ปี 2540 เศรษฐกิจเรามันหัวปักลงมาท่านบอกเราไม่อยากก้าวหน้า อย่างมากแบบประเทศเหล่านั้นแบบประเทศก้าวหน้าอย่างมากแต่เราก็เป็นประเทศก้าวหน้าเหมือนกัน แต่เราไม่ใช่ก้าวหน้าอย่างมากเราไม่ใช่อย่างนั้น เราก็เป็นประเทศที่มั่งคั่ง ร่ำรวยเหมือนกันเรามีน้ำ มีดิน มีอากาศ มีน้ำใจที่ยิ่งกว่านั้นคือ สังคมเราเป็นสังคมมีน้ำใจ ที่มั่งคั่งที่สุดในโลก เราเป็นเมืองยิ้มทั่วโลกเขารู้จักเรา แล้วนี่ก็พัฒนากันมาอย่างนี้ อย่างอะลุ่มอล่วยเป็นพันปีอย่างนี้ เรียกว่า “ตำราแบบนี้ไม่จบ”แล้วก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ ๆแล้วเราจะค่อย ๆ ก้าวหน้าไปก้าวหน้าไปอย่างไง ท่านก็รับสั่งว่าเออนี้นะต้องมีพอกิน พออยู่ พอใช้ ต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดีต้องอย่าทำลายป่า ต้องฟื้นฟูป่าต้องจัดการน้ำ จัดการดิน ฝนตกมาให้เก็บน้ำเอาไว้อย่าปล่อยให้น้ำไปชะพังทลายหน้าดินลงมา ก็มีวิธีเก็บแล้วท่านก็บอกบรรพบุรุษท่านรู้ว่าทำอย่างไรพื้นที่ไหนควรทำอะไร พื้นที่ไหนไม่ควรทำอะไรเวลาไหนควรทำอะไร เวลาไหนไม่ควรทำอะไร เขารู้กันมาดีอยู่แล้วสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวฯ เล่าให้ฟัง อันนี้ทรงเรียกว่า “พอเพียง”แล้วก็จะเรียกง่าย ๆ ว่านี่คือ ศาสตร์ของพระราชาองค์นี้
เกษตรทฤษฎีใหม่(1/8): ศาสตร์พระราชาสู่โคก หนอง นา โมเดล
Previous Articleทอดผ้าป่ากองทุนแม่ของแผ่นดินประจวบคีรีขันธ์ 2566
Next Article ประเพณีลอยกระทง แข่งขันพายเรือ ครั้งที่ 7 (วังไทร)